บทสรุปผู้บริหาร
สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและแรงงาน ไตรมาส 3 (กรกฎาคม-สิงหาคม) ปี 2553 มีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
สภาพทั่วไป
จังหวัดยะลาเป็นจังหวัดที่อยู่ใต้สุดของประเทศไทย มีเนื้อที่ประมาณ 4,521.078 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 2,825,673.75 ไร่ เป็นจังหวัดเดียวในภาคใต้ที่ไม่มีพื้นที่ติดต่อกับทะเล
แบ่งการปกครองออกเป็น 8 อำเภอ คือ อำเภอเมืองยะลา อำเภอเบตง อำเภอบันนังสตา อำเภอรามัน อำเภอยะหา อำเภอธารโต อำเภอ กาบัง และอำเภอกรงปินัง
เมื่อเปรียบเทียบขนาดพื้นที่ของแต่ละอำเภอแล้วปรากฏว่า อำเภอเบตง มีพื้นที่มากที่สุด คือ ประมาณ 1,328.001 ตารางกิโลเมตร และอำเภอกรงปินัง มีพื้นที่น้อยที่สุด คือประมาณ 185 ตารางกิโลเมตร
ภูมิประเทศโดยทั่วไปของจังหวัดยะลา มีลักษณะเป็นภูเขา เนินเขา และหุบเขา ตั้งแต่ตอนกลางจนถึงใต้สุดของจังหวัด มีที่ราบบางส่วน ทางตอนเหนือของจังหวัด ได้แก่ บริเวณที่ราบแม่น้ำปัตตานี และแม่น้ำสายบุรีไหลผ่าน อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางถึงสูงมาก โดยเฉลี่ยระหว่าง 100 – 200 เมตร พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยป่าดงดิบ และสวนยางพารา มีเทือกเขาที่สำคัญอยู่ 2 เทือกเขา คือ เทือกเขาสันกาลาคีรี เริ่มจากอำเภอเบตง เป็นแนวยาวกั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทย กับประเทศมาเลเซียและเทือกเขาปิโล ซึ่งเป็นเทือกเขาอยู่ภายในจังหวัด ในเขตตำบลบุดี บันนังสาเรง ของอำเภอเมืองยะลา อำเภอกรงปินัง และอำเภอ รามัน
สภาพเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจจังหวัดยะลา ปี 2551 พิจารณาจากผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด ณ ราคาประจำปี มีมูลค่าเท่ากับ 35,843 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 31,365 ในปีที่ผ่านมา เท่ากับ 4,478 ล้านบาท
อัตราการขยายตัวของมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ หดตัวร้อยละ 6.8 จากที่ขยายตัว ร้อยละ 4.0 ในปีที่ผ่านมาโดยการผลิตภาคเกษตร หดตัว ร้อยละ 17.7 จากที่ขยายตัวร้อยละ 4.6 ในปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากสาขาเกษตรกรรม การล่าสัตว์ และการป่าไม้ หดตัวร้อยละ 17.7 และสาขาประมงหดตัวร้อยละ 20.3 ส่วนภาคนอกเกษตร ขยายตัวร้อยละ 2.6 ชะลอตัวจากที่ขยายตัว ร้อยละ 3.6 ในปีที่ผ่านมาเนื่องจากสาขาบริการด้านอสังหาริมทรัพย์สาขาการบริหารราชการฯ ซึ่งเป็นสาขาที่สำคัญของภาคนอกเกษตร ขยายตัวร้อยละ 6.9 , 5.6 และ4.6 ตามลำดับ
ภาคเกษตร : การผลิตภาคเกษตร หดตัวร้อยละ 17.7 จากที่ขยายตัวร้อยละ 4.6 ในปีที่ ผ่านมา มูลค่าเพิ่ม ณ ราคาประจำปีของการผลิต ภาคเกษตรในปี 2551 เท่ากับ 18,122 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 14,685 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา เท่ากับ 3,437 ล้านบาท
นอกภาคเกษตร : การผลิตนอกภาคเกษตรชะลอตัว ร้อยละ 2.6 จากที่ขยายตัวร้อยละ 3.6 ในปีที่ผ่านมา มูลค่าเพิ่ม ณ ราคาประจำปีของการผลิตภาคนอกเกษตรในปี 2551 เท่ากับ 17,721 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 16,680 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา เท่ากับ 1,041 ล้านบาท
ผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัว (GPP per Capita): ค่าเฉลี่ยต่อหัวของประชากร ในปี 2551เท่ากับ 75,778 บาทต่อปี เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 12.6
สถานการณ์แรงงาน
ประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปในจังหวัดยะลา มีจำนวน 363,916 คน ซึ่งเป็นผู้อยู่ในกำลังแรงงาน 264,185 คน ผู้มีงานทำ 262,708 คน ผู้ว่างงาน 1,477 คน
การมีงานทำ ผู้มีงานทำในจังหวัดยะลา มีจำนวน 262,708 คน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (ไตรมาส 1 ปี 2553 คือ 261,463 คน) ส่วนใหญ่ทำงานในภาคเกษตร จำนวน 179,158 คน (ร้อยละ 68.2) ทำงานนอกภาคเกษตร(ร้อยละ 31.8) โดยทำงานเป็นพนักงานบริการ พนักงานในร้านค้า และตลาด มากที่สุด จำนวน 34,095 คน(ร้อยละ 13) รองลงมาคือเป็นผู้ประกอบวิชาชีพด้านต่างๆ จำนวน 10,895 คน(ร้อยละ 4.1) และ ผู้มีงานทำส่วนใหญ่มีการศึกษาระดับประถมศึกษา จำนวน 77,598 คน (ร้อยละ 29.5)
การว่างงาน จังหวัดยะลา มีผู้ว่างงานประมาณ 1,477 คน หรือมีอัตราการว่างงานร้อยละ 0.6 ลดลง 0.1 จากไตรมาสที่ผ่านมา (ไตรมาส 1 ปี 2553 มีจำนวนผู้ว่างงาน 1,967 คน หรือร้อยละ 0.7) และเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันกับปีที่แล้ว พบว่า อัตราการว่างงานลดลงเท่ากับร้อยละ 0.1 (ไตรมาส 2 ปี 2552 มีจำนวน ผู้ว่างงาน 1,818 คน หรือร้อยละ 0.7) โดยผู้ว่างงานไตรมาสนี้ส่วนใหญ่เป็นหญิง จำนวน 916 คน และชาย จำนวน 561 คน
การบริการจัดหางานในประเทศ ในช่วงไตรมาสที่ 3 (กรกฎาคม-กันยายน) ปี 2553 นายจ้าง / สถานประกอบการได้แจ้งตำแหน่ง งานว่าง จำนวน 1,203 อัตรา เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 จากไตรมาสที่ผ่านมา (ไตรมาส 2 ปี 2553 จำนวน 695 อัตรา) โดยมีผู้สมัครงาน 1,196 คน และการบรรจุงาน จำนวน 738 คน มีอัตราบรรจุงาน ต่อตำแหน่งงานว่างร้อยละ 61.3 ส่วนตำแหน่ง งานว่างตามระดับการศึกษาที่ต้องการสูงสุด คือ ระดับมัธยมศึกษามีความต้องการ ร้อยละ 31.0(373 อัตรา) รองลงมาเป็นระดับปวส. และปวช. คือ ร้อยละ 18.9(227 อัตรา) และ ร้อยละ 16.2 (195 อัตรา) สำหรับอาชีพที่มีการบรรจุงานมากที่สุด คือ ประเภทอาชีพพนักงานบริการ พนักงานขายในร้านค้าและตลาด ร้อยละ 46.6 (344 คน) และอุตสาหกรรมที่มีตำแหน่งงานว่างมากที่สุด คือ การขายส่ง การขายปลีกฯ ร้อยละ 39.3 (473 อัตรา)
อุปทานของจังหวัดยะลา พบว่า ในปี 2551 มีอุปทานรวมซึ่งเป็นแรงงานใหม่ 15,407 คน และในปี 2559 จะลดลงเหลือ 15,095 คน ซึ่งเกิดจากมีนักเรียนเข้าสู่ระบบการศึกษาน้อยลง โดยจำนวนอุปทานมีมากที่สุดที่ระดับการศึกษา ม.3 จำนวน 5,667 คน และมีนักเรียนที่จบการศึกษาและต้องการออกมาทำงานจำนวนมาก โดยเฉพาะระดับ ม.6 ซึ่งมีจำนวนถึง 4,848 คน ส่วนระดับ ปวส./อนุปริญญา เข้าสู่ตลาดแรงงานถึง 1,580 คน สูงกว่าจำนวนอุปทานระดับ ปวช.
เมื่อเปรียบเทียบอุปสงค์กับอุปทานตามระดับการศึกษา พบว่า ทุก ๆ ปี (2551-2559) เศรษฐกิจของจังหวัดยะลาไม่สามารถดูดซับอุปทานของจังหวัดได้หมด ทำให้เกิดอุปทานส่วนเกิน (Surplus Labor) ถึง 15,284 คนในปี 2551 และ 15,189 คนในปี 2559 แรงงานที่เหลือบางส่วนก็ย้ายถิ่น (Migrate) ไปหางานทำยังจังหวัดอื่น ๆ
แรงงานต่างด้าว ที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมายและได้รับอนุญาตให้ทำงาน ข้อมูลเดือนกันยายน 2553 มีจำนวน 171 คน แรงงานต่างด้าวส่วนใหญ่เป็นประเภทชั่วคราว จำนวน 156 คน และแรงงานต่างด้าวประเภทมาตรา 12 (ยกเว้นมติ ครม.) จำนวน 15 คน โดยแรงงานต่างด้าวสัญชาติฟิลิปปินส์ มีมากที่สุด จำนวน 46 คน หรือร้อยละ 26.9 และรองลงมาคือสัญชาติอินโดนีเซีย จำนวน 37 คน (ร้อยละ 21.6)
สำหรับแรงงานต่างด้าวตามมติ คณะรัฐมนตรี ปี 2549 และปี 2550 เป็นแรงงานที่ได้รับอนุญาตให้มาทำงานเป็นการชั่วคราว 3 สัญชาติ คือ พม่า ลาว กัมพูชา เพื่อทดแทนการขาดแคลนแรงงานในจังหวัดมีจำนวนทั้งสิ้น 1,903 คน ลดลงร้อยละ 5.1 จากไตรมาสที่ผ่านมา(ไตรมาส 2 ปี 2553 จำนวน 2,006 คน) โดยสัญชาติพม่า มีมากที่สุด คือ ร้อยละ 97.2(1,849 คน) รองลงมาเป็นสัญชาติลาว มีจำนวน 29 คน (ร้อยละ 1.5) และ สัญชาติกัมพูชา มีจำนวน 25 คน (ร้อยละ 1.3)
แรงงานไทยในต่างประเทศ ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2553 แรงงานไทยจากจังหวัดยะลาที่ขออนุมัติเดินทางไปทำงานต่างประเทศ มีจำนวน 7 ราย พบว่า ไปโดยวิธี Re-Entry จำนวน 5 ราย และกรมการจัดหางานจัดส่ง 1 ราย ส่วนภูมิภาคที่แรงงานไทยไปทำงานส่วนใหญ่ คือ ในภูมิภาค เอเชีย
การพัฒนาศักยภาพแรงงานในจังหวัดยะลา ไตรมาสนี้ มีผู้เข้ารับการฝึกยกระดับฝีมือแรงงาน จำนวน 139 คน เป็นกลุ่มอาชีพช่างไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ จำนวน 97 คน รองลงมาเป็นกลุ่มธุรกิจและบริการ จำนวน 25 คน และช่างเครื่องกล 17 คน จากผู้เข้ารับการฝึกทั้งหมดมีผู้ผ่านเกณฑ์ จำนวน 137 คน(ร้อยละ 98.6) การทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน มีผู้เข้ารับ การทดสอบ จำนวน 77 คน เป็นกลุ่มอาชีพช่างเครื่องกล จากผู้เข้ารับการฝึกทั้งหมดมีผู้ผ่านเกณฑ์ จำนวน 61 คน(ร้อยละ 79.2)
การคุ้มครองแรงงาน จังหวัดยะลามีการตรวจสถานประกอบการทั้งสิ้น 58 แห่ง ลดลงร้อยละ 19.4 จากไตรมาสที่ผ่านมา (ไตรมาส 2 ปี 2553 จำนวน 72 แห่ง) ไตรมาสนี้มีลูกจ้างที่ผ่านการตรวจ จำนวน 616 คน ซึ่งสถานประกอบการที่เข้ารับการตรวจส่วนใหญ่ เป็นสถานประกอบการขนาด 1-4 คน จำนวน 27 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 46.5 ของสถานประกอบการ ที่ผ่านการตรวจทั้งหมด รองลงมาเป็นขนาด 5-9 คน มีจำนวน 11 แห่ง ร้อยละ 19 โดยมีสถานประกอบการปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย จำนวน 54 แห่ง (ร้อยละ 93.1) และปฏิบัติไม่ถูกต้อง จำนวน 4 แห่ง(ร้อยละ 6.9)สำหรับสถานประกอบการที่ปฏิบัติไม่ถูกต้องได้มีการดำเนินการโดยให้คำแนะนำ เพื่อปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
การตรวจความปลอดภัยในการทำงาน มีการตรวจความปลอดภัยในสถานประกอบการทั้งสิ้น 24 แห่ง ลดลงร้อยละ 17.2 จากไตรมาสที่ผ่านมา (ไตรมาส 2 ปี 2553 จำนวน 29 แห่ง) ไตรมาสนี้มีลูกจ้างที่ผ่านการตรวจ จำนวน 342 คน พบว่า สถานประกอบการทั้งหมดปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย
การประสบอันตราย / เจ็บป่วยจากการทำงาน ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2553 จังหวัดยะลา มีการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงาน จำนวน 60 คน ลดลงร้อยละ 24.1 จากไตรมาสที่ผ่านมา (ไตรมาส 2 ปี 2553 จำนวน 79 คน) โดยประเภทของ ความร้ายแรง พบว่า ส่วนใหญ่จะหยุดงานไม่เกิน 3 วัน จำนวน 32 คน(ร้อยละ 53.3) หยุดงานเกิน 3 วัน จำนวน 27 คน(ร้อยละ 45.0) และเสียชีวิต จำนวน 1 ราย(ร้อยละ 1.7) ไตรมาสนี้ไม่มีสูญหาย หรือสูญเสียอวัยวะบางส่วนแต่อย่างใด
การเลิกจ้างแรงงาน สถานประกอบ-กิจการในจังหวัดยะลา ที่เลิกกิจการมีจำนวน 9 แห่ง เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (ไตรมาส 2 ปี 2553 จำนวน 7 แห่ง) ไตรมาสนี้ มีผู้ถูกเลิกจ้าง จำนวน 5 ราย
การประกันสังคม จังหวัดยะลา มีสถานประกอบการที่ ขึ้นทะเบียนประกันสังคม จำนวน 1,483 แห่ง ผู้ประกันตนทั้งสิ้น 19,706 คน และ มีสถานพยาบาล ในสังกัดประกันสังคมที่เป็นสถานพยาบาลของรัฐบาล จำนวน 2 แห่ง
จำนวนผู้ใช้บริการกองทุนประกันสังคม ประเภทประโยชน์ทดแทน ไตรมาสนี้มีจำนวน 21,551 คน ลดลงร้อยละ 0.3 จากไตรมาสที่ผ่านมา (ไตรมาส 2 ปี 2553 จำนวน 21,618 คน) ประเภทประโยชน์ทดแทนที่ใช้บริการสูงสุด ได้แก่ กรณีสงเคราะห์บุตร มีจำนวน 18,571 คน หรือร้อยละ 86.2 ของผู้ใช้บริการทั้งหมด สำหรับการจ่ายเงินตามประเภทประโยชน์ทดแทน พบว่า การจ่ายเงินกรณีสงเคราะห์บุตร มีการจ่ายเงินสูงสุด ถึง 6,928,000 บาท หรือร้อยละ 37.2 ของเงินประโยชน์ทดแทนที่จ่าย(จำนวนเงินที่จ่ายตามประเภทประโยชน์ทดแทนทั้งหมด 18,598,802.16 บาท)